เทศน์เช้า

เวลาเป็นของขวัญ

๓๑ ธ.ค. ๒๕๔๓

 

เวลาเป็นของขวัญ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๔๓
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันสิ้นปี เห็นไหม วันคืนล่วงไป ๆ น่ะ วันสิ้นปีหมดปีไปนี่ เวลามันหมดเดือนหมดวันน่ะ เราคิดว่าอย่างไรกัน เวลาหมดเดือนหมดวันเราก็ยังปกติกันอยู่ แต่พอวันสิ้นปี พอสิ้นปีเราก็ว่าพอสิ้นปีต้องฉลองกัน แต่เวลามันก็หมดไป ๑ ปี เห็นไหม กาลเวลาหมดไปอีก ๑ ปี เวลามันหมดไปนี่ เราก็หมดไป

แต่ถ้ามันไม่คิดอย่างนั้นนะ เป็นผู้ปกติ สมมุติว่าเราเป็นผู้ที่หมดสิ้นจากการติดข้องนี่ วันคืนล่วงไปมันปกติ เช้ามืด ๆ สว่างขึ้นไป มันไม่มีไปสะเทือนหัวใจท่านได้หรอก แต่มันจะเป็นเรื่องของเรา เรื่องของพวกเรานี่ เรื่องของพวกเรายังเกาะเกี่ยวอยู่ในโลกวัฏฏะ

สิ่งที่มันเคลื่อนไป มันให้ค่าไปตลอด สิ่งที่มันหมุนเวียนไป ความหมุนเวียนไปมันต้องให้ค่ากัน มันให้ค่ากันมันส่งไปไม่ได้ ธรรมชาติ เห็นไหม ความหมุนเวียนไป อันนี้ก็เหมือนกัน เราเกิดตาย ๆ นี่ เราเกิดตายขึ้นมานี่ วันคืนล่วงไปนี่ เขาถามพระสารีบุตร

“ชีวิตคืออะไร?”

“ชีวิตคือไออุ่น”

ชีวิตคือไออุ่น ชีวิตคือพลังงานไง พลังงานตั้งอยู่บนกาลเวลา เห็นไหม นี่มันสัมพันธ์กันตรงนี้ไง ชีวิตคือไออุ่น ถ้าเรายังมีไออุ่นอยู่ ยังมีธาตุรู้อยู่นี่ เรายังมีชีวิตสืบต่ออยู่ ถ้าเวลาจิตมันตายหลุดออกไปนี่ ไออุ่นคือจิตวิญญาณไง แต่ท่านพูดว่า ไออุ่นเลย ไออุ่นคือพลังงานเฉย ๆ ชีวิตนี้คือตัวพลังงานที่มันตั้งอยู่บนกาลเวลาที่สืบต่อ

ถ้ากาลเวลาที่สืบต่อเราก็ได้ประโยชน์กับมัน เห็นไหม เราได้โอกาสได้สร้างบุญกุศล ชีวิต ๑ ปีนี่ เราย้อนกลับไปว่า หมดปีไปนี่ เราทำเป็นประโยชน์กับเราหรือเป็นโทษกับเรามากกว่ากัน นี่ถ้าเป็นประโยชน์เป็นโทษกับเรามากกว่ากัน มันจะสะสมลงที่ใจเรา ใจเราไป เห็นไหม ที่ว่าจะไปสุคโตต้องปัจจุบันสุคโตก่อน จะไปดีนี่ เราต้องดีตั้งแต่วันนี้ ถ้าวันนี้ดี วันนี้ไม่มีหนี้พรุ่งนี้ก็ไม่มีหนี้ วันนี้มีหนี้อยู่พรุ่งนี้ก็มีหนี้ เห็นไหม ถ้าอย่างนี้เราต้องทำปัจจุบันให้เป็นประโยชน์กับเราที่สุด แล้วเราแก้ไขข้างหน้าขึ้นไป ๆ

กาลเวลาจะมีเฉพาะเราตรงนี้ ตรงที่ว่ากาลเวลามีเพราะว่าเรายังมีไออุ่นอยู่ ยังต้องเป็นไปอยู่ ไออุ่นที่สกปรกด้วยนะ ถ้าไออุ่นที่ฉลาดนี่รอวันตาย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้จน ๒,๕๔๔ ปี จะเข้า ๔๔ ปีวันพรุ่งนี้ เห็นไหม ตายไปแล้ว ๒,๕๔๔ ปียังเป็นประโยชน์อยู่ คนที่ทำคุณงามความดีว่าตายไปแล้วนะ แต่สิ่งที่ว่าค้นพบไว้นี่ ยังเป็นให้พวกเราได้พึ่งพาอาศัย ยังได้ตลอดไป

แต่ของเราถ้าชีวิตเราไม่เป็นอย่างนั้น ชีวิตเรานี่ เราเป็นคนที่ว่า เหมือนกับเราได้ของขวัญนะ แกะกล่องออกมาได้เป็นมนุษย์สมบัติ แกะกล่องของขวัญมาได้มนุษย์สมบัติมา เราได้มนุษย์สมบัติ เราทำคุณงามความดี เราได้เกิดเป็นมนุษย์ไง พอเกิดเป็นมนุษย์ขึ้นมานี่ เห็นไหม ของขวัญนี่เราจะใช้อย่างไร ใช้ให้มันหมดไป หรือจะใช้อย่างไร กาลเวลาบางคนอายุ ๗๐ – ๘๐ บางคน ๔๐ – ๕๐ ตายแล้ว นี่กาลเวลา เห็นไหม มันถึงว่ากาลเวลานั้นส่วนกาลเวลา

คนที่ว่ามีชีวิตยืนยาวนี่ ไม่ทำปาณาติบาต คนจะเกิดเป็นมนุษย์นี่เขาว่าศีล ๕ สมบูรณ์ มนุษย์สมบัติเกิดจากศีล ศีลที่มีความบริสุทธิ์นี่ได้เกิดเป็นมนุษย์สมบัติ แต่ถ้าคนเกิดเป็นมนุษย์สมบัติขึ้นมาแล้วก็ยังต่างกัน ต่างตรงคนอายุยืนอายุไม่ยืน เห็นไหม ก็คนอายุยืนนี่ ว่าเราปล่อยสัตว์ปล่อยปลากัน เราให้อายุเขา มันต้องได้ผลประโยชน์ตอบแทนกลับมา

เราทำลายชีวิตเขานี่ ชีวิตเราก็สั้นเข้าเหมือนกัน เราทำลายไปนี่ วังวนของกรรมมันจะย้อนกลับมา แต่กรรมย้อนกลับมาช่วงไหน เราไม่เห็นว่ากรรมย้อนกลับมาอย่างไร ย้อนกลับมาเพราะการกระทำที่ว่าหนึ่งชีวิตของเรานี่ เราจะทำคุณงามความดีขนาดไหน

ถ้าชีวิตนะ ในพระไตรปิฎกบอกว่า “ผู้ที่มีสติสัมปชัญญะอยู่สมบูรณ์วันหนึ่ง ดีกว่าคนที่ประมาทมีชีวิตอยู่ ๑ ชั่วชีวิตอายุขัยเลย” เป็นร้อย ๆ ปีนี่ ไม่ได้ทำประโยชน์ให้กับตัวเองเลยนะ นี่ร้อยปี กับผู้ที่มีสัมปชัญญะอยู่แค่ ๑ วัน เวลา ๑ วันยังเป็นประโยชน์มากกว่าคนที่อายุ ๑๐๐ ปี เราจะว่ากาลเวลามีประโยชน์ตรงไหน

มันจะมีประโยชน์ตรงที่เราหูตาสว่างไง ตรงที่เราหาที่พึ่งของเรามานี่ เราทำคุณประโยชน์นี่ เราทำคุณประโยชน์ไป มันยังไม่ถึงเวลาว่ามันจะให้ผลประโยชน์กับใคร เราทำต่อเมื่อมันมีอุปสรรคขวางหน้า ถ้าไม่มีอุปสรรคขวางหน้าเลย งานมันก็ต้องเรียบร้อยไปหมดสิ แล้วกิเลสมันต้องไม่มีสิ มันมีแต่ฝ่ายมาร เห็นไหม ฝ่ายมารฝ่ายที่ทิ่มตำให้เราก้าวเดินไปไม่ได้

แต่ฝ่ายธรรม พระพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมานี่ ชำระกิเลสก่อน ธรรมในหัวใจ เราจะทำคุณงามความดีของเราในใจของเรา มันก็ยังมีความต่อต้าน ความต่อต้านจากภายในของเรา จากความต่อต้านภายนอก ทำงานข้างนอกก็มีความต่อต้านภายนอก ทำงานภายในจะทำคุณงามความดีของเรา อย่างน้อยมันก็เลื่อนเวลาไปก่อน เมื่อนั้น ๆ ค่อยทำ เลื่อนเวลาไปก่อนเพราะเรายังมีเวลาอยู่ เห็นไหม นี่ผลาญเวลาไป

คนที่ผลาญเวลาไปนี่ทำลายโอกาสของตัวเอง แล้วถึงเวลาขึ้นมานี่ ใจมันก็... เหมือนกับคนไข้ เห็นไหม ถ้าคนไข้น้อย ไข้ที่ว่ามันพอแก้ไขได้ ไข้เริ่มต้นนี่ จะรักษาได้ จนไข้นั้นอุกฤษฏ์แล้วค่อยมาเจอหมอนี่มันก็รักษาไม่ได้ หัวใจก็เหมือนกัน ถ้ามันศรัทธา เริ่มต้นเราเริ่มศรัทธา แล้วเราเริ่มแก้ไขไปนี่ มันไม่ได้สะสมไว้ สิ่งที่สะสมไว้ในหัวใจมันน้อย

เวลาเราอายุมากขึ้นมาแล้วค่อยไป เห็นไหม อายุมากขึ้นมานี่ เหมือนเด็ก คนว่าผู้ใหญ่เกิดมาแล้วพอแก่เฒ่าไปจะเหมือนเด็กอีกครั้งหนึ่ง เหมือนกันเลย พอแก่ไปนี่ มันก็มีแต่เรื่องที่ว่าสะสมไว้ในใจ พอมันคิดอะไรมันก็จะเกิด เหมือนเด็ก ๆ นะ แต่ถ้ามีความรู้อยู่ อันนี้มันจะแก้ไขออกไป เห็นไหม ถ้าเราทำตั้งแต่เริ่มต้น เราทำไป งานส่วนงาน งานภายนอกเป็นงานภายนอก งานภายในเป็นงานของเราไง

ถ้างานภายในนี่ ทีนี้ว่ากาลเวลาสำคัญไม่สำคัญตรงหัวใจดวงนี้ ถ้ามันสิ้นแล้วนะ เวลามันสิ้นแล้ว พอมันสิ้นไปจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วนี่ ๔๕ ปีทำแต่เพื่อโลกไปเฉย ๆ ทำแต่เพื่อโลกไป เห็นไหม แล้วอย่างว่าน่ะ ตรงว่าให้พระอานนท์นิมนต์ไว้ ถ้าจะอยู่อีก ๑ กัปก็อยู่ได้ แต่ถ้าอยู่อีก ๑ กัปประโยชน์จะมากกว่านั้นอีกขนาดไหน

แต่เพราะมารดลใจไว้หนึ่ง นี่ในตำราว่ามารดลใจไว้หนึ่ง แล้วมันเป็นอย่างนั้นไปที่ว่า พระพุทธเจ้าถึงบอกพระอานนท์ให้เป็นนัยถึง ๑๖ ครั้ง พระอานนท์ไม่นิมนต์ไว้เลย พอถึงเวลาท่านปลงอายุสังขารแล้วพระอานนท์มาขอทีหลัง ขอทีหลังก็ไม่ได้ นี่แม้แต่ชีวิตนี้ยังขยับให้มันยาวไปก็ได้ เห็นไหม

ถึงบอกว่า ชีวิตเวลานี้ไม่มีค่าสำหรับอย่างนั้นเลย ถึงจะปลดปล่อยวางชีวิตให้ดับไปวันนั้น ถึงว่าปลงอายุสังขารก็ได้ แล้วคนมาขอขอไม่ได้แล้ว เพราะปลงอายุสังขาร ธรรมเหนือทุกอย่างไง หัวใจที่ทำมันเด็ดขาด พอเด็ดขาดนี่ มันตัดอะไรแล้วมันตัดไปเลย มันขาดไปเลย มันไม่มีอะไรมาสืบต่ออีก มันถึงว่าสิ่งใดนั้นเป็นเครื่องอยู่อาศัย

สิ่งที่เป็นเครื่องอยู่อาศัยของผู้ที่ว่าผ่านพ้นไป แต่เป็นสิ่งที่ว่าเป็นทุกข์กับเราอย่างมากเลย ที่มีกิเลสมารในหัวใจนี้ จะมีความทุกข์อย่างนี้มหาศาล ถ้ามีมหาศาลเราต้องเตือนเรานี่ หมดไปอีก ๑ ปี แล้วปีต่อไปเราจะหาอะไรมาเป็นเครื่องสืบต่อ หาอะไรเป็นที่พึ่งไง เราต้องมีที่พึ่งที่อาศัย

รถออกจากบ้านไป ถ้าน้ำมันเต็มถังไปนี่อุ่นใจมากเลย รถไปครึ่งถังนั่นก็อีกอย่างหนึ่ง รถออกจากบ้านไปน้ำมันนั้นใกล้จะหมดอยู่แล้วนี่ จิตออกจากร่างกายไป บุญกุศลที่สะสมไว้ ถ้าเราทำถึงเต็มที่แล้วเหมือนน้ำมันเต็มถัง ออกจากบ้านไปสบายมาก จะไปถึงไหนไปได้ตลอด เพราะว่ามันเต็มที่ไปเลย เพราะจิตเราทำคุณงามความดีไว้ ครึ่ง ๆ กลาง ๆ ก็ครึ่งถัง ถ้าไม่ได้ทำเลยนะ เกือบจะไม่มีน้ำมันออกจากนี้ไปเลยนี่ ออกไปแล้วมีแต่ความรุ่มร้อน ออกไปมีแต่ความคิดกระวนกระวายใจนะ นี่น้ำมันใช่ไหม มันเป็นอามิส

แล้วเราประพฤติปฏิบัติเข้าไปนี่ มันเป็นน้ำมันเรืองแสง น้ำมันที่ว่าใช้แล้วไม่มีวันหมดน่ะ มันมหัศจรรย์ขึ้นไปอีกนะ ในศาสนานี้สอนอย่างนั้นจริง ๆ แล้วทำได้ พิสูจน์ได้ ใครทำถึงหัวใจ เพราะสุขทุกข์มันเกิดที่ใจ ความลังเลสงสัยเกิดที่ใจ มันปล่อยวางปลดเปลื้องได้ที่ใจ

น้ำมันก็คือสิ่งที่เป็นขันธ์ ที่เป็นสะสมลงที่ใจนี้เป็นทิพย์เข้าไป แต่ที่เรืองแสงคือว่ามันตัดขาดทั้งหมด ขันธ์กับหัวใจนี้ขาดออกไป แม้แต่ตอของจิตก็พลิกคว่ำไป มันเรืองแสงคือว่ามันสมบูรณ์ตลอดไง น้ำมันนี้ไม่มีวันพร่อง เป็นของทิพย์ เป็นของมหัศจรรย์ยิ่งกว่าทิพย์ ทิพย์นี้ยังเวียนว่ายตายเกิด อันนี้มันไม่มีการเวียนตายเกิด มันเป็นของที่ว่า ไม่มีบกพร่องไง เมืองพอ นี่ศาสนาสอน...

(เทปสิ้นสุดเพียงเท่านี้)